Pages

การรับฟังพยานบุคคล

มาตรา ๙๕ ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใดเว้นแต่บุคคลนั้น
(๑) สามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ และ
(๒) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง แต่ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งของศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น
ถ้าศาลไม่ยอมรับไว้ซึ่งคำเบิกความของบุคคลใด เพราะเห็นว่าบุคคลนั้นจะเป็นพยานหรือให้การดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ และคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องร้องคัดค้านก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลจดรายงานระบุนามพยาน เหตุผลที่ไม่ยอมรับและข้อคัดค้านของคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องไว้ ส่วนเหตุผลที่คู่ความฝ่ายคัดค้านยกขึ้นอ้างนั้น ให้ศาลใช้ดุลพินิจจดลงไว้ในรายงานหรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน

มาตรา ๙๕/๑ ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความต่อศาลก็ดี หรือที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้อ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลก็ดี หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่
(๑) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ
(๒) มีเหตุจำเป็นเนื่องจากไม่สามารถนำบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น
ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ควรรับไว้ซึ่งพยานบอกเล่าใด ให้นำความในมาตรา ๙๕ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๙๖ พยานที่เป็นคนหูหนวก หรือเป็นใบ้หรือทั้งหูหนวกและเป็นใบ้นั้นอาจถูกถามหรือให้คำตอบโดยวิธีเขียนหนังสือ หรือโดยวิธีอื่นใดที่สมควรได้ และคำเบิกความของบุคคลนั้น ๆ ให้ถือว่าเป็นคำพยานบุคคลตามประมวลกฎหมายนี้

มาตรา ๙๗ คู่ความฝ่ายหนึ่ง จะอ้างคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพยานของตนหรือจะอ้างตนเองเป็นพยานก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2551
คำเบิกความของพนักงานสอบสวนที่ว่าได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำแผนที่เกิดเหตุ และให้ความเห็นจากการตรวจที่เกิดเหตุ และแผนที่เกิดเหตุประกอบกันว่าเหตุเกิดเพราะความผิดของฝ่ายใด มิใช่พยานบอกเล่า รับฟังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4129/2550
ตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของ ส. ได้ความว่า พยานดังกล่าวทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย มีหน้าที่ติดต่อขายสินค้าของโจทก์ให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย พยานดังกล่าวให้การตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นในเรื่องการซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง การผิดสัญญาซื้อขายพิพาทของจำเลยทั้งสอง และความเสียหายของโจทก์อันเกิดแต่การผิดสัญญาซื้อขายพิพาท พยานดังกล่าวเป็นผู้ที่ได้เห็นหรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้การเป็นพยานโดยตรงจึงหาต้องห้ามมิให้รับฟังตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2545
ทรัพย์ของแผ่นดินจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพของตัวทรัพย์นั้นว่าราษฎรได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณประโยชน์หนองคูที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน แม้ทางราชการจะไม่ได้ทำหลักฐานหรือขึ้นทะเบียนไว้ ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามกฎหมายที่ไม่อาจโอนให้แก่กันได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา และไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดิน แม้โจทก์จะแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) ไว้ก็ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาท
ท. เป็นผู้เชี่ยวชาญของศาลด้านโบราณคดีถือว่าเป็นนักวิชาการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะ เบิกความประกอบรายงานการวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่จัดทำขึ้นในทางการศึกษาวิจัยลักษณะของชุมชนโบราณที่มีอยู่ตามแหล่งต่าง ๆ ในประเทศไทยโดยดูจากภาพถ่ายทางอากาศ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6728/2545

โจทก์มอบหมายให้ทนายความทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยโดยการมอบหมายไม่ได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 798 แต่จำเลยรับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องแสดงว่าโจทก์ยอมรับการบอกกล่าวบังคับจำนองของทนายความแล้ว เป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำของทนายความ ทนายความจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในการบอกกล่าวบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823
ก. เป็นผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารโจทก์ มีหน้าที่ควบคุมดูแลบัญชีลูกหนี้ที่ผิดนัดค้างชำระหนี้ รวมทั้งติดตามเรียกร้องหนี้สินค้างชำระ เบิกความเป็นพยานโจทก์ประกอบเอกสารเกี่ยวกับหนี้สินจำเลยว่ามีอยู่และถูกต้องแท้จริง เป็นการเบิกความถึงสิ่งที่พยานมีหน้าที่เกี่ยวข้องรู้เห็นและทราบข้อความในเรื่องที่เบิกความเป็นพยาน คำเบิกความของก. จึงไม่ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7795/2544
ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยมิได้มีส่วนใดเกี่ยวพันไปถึงงานในหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ถูกปิดกิจการและกองทุนฟื้นฟูเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าควบคุมกิจการของโจทก์ ในช่วงนี้หากจะมีการโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 ให้แก่กองทุนฟื้นฟูเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กรณีดังกล่าวก็เป็นเพียงขั้นตอนและวิธีการในการเข้าควบคุมกิจการของโจทก์ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้มีธุรกรรมกับโจทก์โดยทั่วไป จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การต่อสู้คดีว่าตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 และที่ 3 ย่อมสามารถขอตรวจพิสูจน์ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวได้อยู่แล้ว หามีความจำเป็นต้องขอหมายเรียกผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินมาเป็นพยานไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9440 - 9441/2542
จำเลยอ้างส่งคำเบิกความพยานในคดีอาญามาเป็นพยานในคดีนี้(คดีแพ่ง) ซึ่งโจทก์ทั้งสองมิได้ตกลงกับจำเลยให้ถือเอาคำเบิกความในคดีดังกล่าวมาเป็นคำเบิกความพยานจำเลยในคดีนี้ คำเบิกความในคดีดังกล่าวจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า มีน้ำหนักให้รับฟังได้น้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4022/2541
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์คัดคำเบิกความพยานฝ่ายโจทก์ ขณะที่การสืบพยานฝ่ายโจทก์ยังไม่เสร็จสิ้น โดยไม่ปรากฏว่า มีพฤติการณ์พิเศษอย่างใดนั้นเป็นการไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 54(2) แต่ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้เป็นการเด็ดขาดมิให้ศาลรับฟังคำเบิกความ ของพยานที่นำมาสืบในภายหลัง และในบางกรณีกฎหมายก็ยัง ให้เป็นดุลพินิจของศาลในอันที่จะรับฟังคำเบิกความของพยาน ที่เบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้วได้ หากศาลเห็นว่า คำเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้ เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อน หรือไม่ สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114 ดังนั้น ศาลจึง รับฟังคำพยานโจทก์ที่มาเบิกความหลังจากที่โจทก์คัดคำเบิกความพยานฝ่ายโจทก์แล้วได้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4130/2540
พยานคู่ที่ไม่ได้นำสืบในคราวเดียวกัน ศาลก็ใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานดังกล่าวได้ กฎหมายไม่ได้บัญญัติห้ามมิให้รับฟัง
พนักงานสอบสวนผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ การพบร่องรอยตลอดจนเศษวัสดุต่าง ๆที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นประจักษ์พยานไม่ใช่พยานบอกเล่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2438/2540
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในคดีแพ่ง เป็นเพียงพยานความเห็นมิใช่ประจักษ์พยาน การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยแล้วรับฟังว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.5ไม่ใช่เอกสารปลอมโดยวินิจฉัยไว้ด้วยว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ว่าลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.5 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อของโจทก์แล้วไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันนั้น เป็นเพียงหลักฐานที่จะรับฟังประกอบดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเท่านั้น มิใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไร ศาลต้องรับฟังตามนั้นเสนอไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2539
พยานแวดล้อมกรณีคือพยานเหตุผลที่จะทำให้ศาลเชื่อว่ามีข้อเท็จจริงบางอย่างอยู่หรือไม่ซึ่งจะต้องมีการใช้เหตุผลอนุมานเอาอีกต่อหนึ่งการที่ศาลอุทธรณ์ภาค2รับฟังคำของส.เจ้าของบ้านอันเป็นสถานที่ที่มีการเรียกเงินและเป็นผู้แนะนำให้หาผู้ถูกกล่าวหาเป็นทนายความให้กับคำของท. เพื่อนบ้านของผู้กล่าวหาซึ่งผู้กล่าวหายืมเงิน40,000บาทเพื่อนำไปให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาจึงมารู้เห็นเหตุการณ์อันเป็นพยานแวดล้อมที่มีรายละเอียดประกอบชอบด้วยเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่ามีข้อเท็จจริงบางอย่างอยู่จึงไม่ขัดต่อวิธีพิจารณาความ พยานคู่กันนั้นไม่จำเป็นต้องรู้เห็นเหตุการณ์หรือเบิกความได้ตรงกันหมดทุกตอนจึงจะรับฟังได้พยานอาจเบิกความสนับสนุนบางตอนเท่าที่ตนรู้เห็นจริงซึ่งขึ้นอยู่กับศิลปะในการซักถามพยานของพนักงานอัยการหรือทนายความผู้ว่าคดีด้วยในเมื่อพยานเบิกความในสาระสำคัญตรงกันว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เรียกเงินจากผู้กล่าวหาโดยอ้างว่าจะเอาไปให้พนักงานอัยการและผู้พิพากษาโดยเฉพาะคำเบิกความของพยานทุกปากไม่มีทนายความช่วยเหลือซักถามเป็นการเบิกความเล่าเรื่องต่อศาลเองแต่ยังคงได้ความในสาระสำคัญตรงกันเช่นนี้ย่อมมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่ามีการอ้างว่าจะเอาเงินไปให้พนักงานอัยการและผู้พิพากษาจริง แม้การอ้างว่าจะเอาเงินไปให้ผู้พิพากษาจะกระทำนอกบริเวณศาลแต่การอ้างเช่นว่านั้นก็เพื่อเป็นอามิสสินจ้างในการดำเนินคดีในศาลผลที่เกิดขึ้นจึงมุ่งหมายให้มีผลในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลโดยเฉพาะคดีนี้ยังมีการทวงถามเงินดังกล่าวในบริเวณศาลอันเป็นการกระทำต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกเงินจากผู้กล่าวหาด้วยจึงเป็นการละเมิดอำนาจศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2539
บาดแผลที่ผู้ตายได้รับเป็นบาดแผลฉกรรจ์เมื่อผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือแล้วผู้ตายก็เงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีกขณะนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลมีผู้ถามอาการผู้ตายผู้ตายส่งเสียงฮือแล้วไม่พูดอะไรการที่ผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือและบอกถึงคนที่ทำร้ายตนในโอกาสแรกเช่นนี้แสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวว่าผู้ตายรู้ตัวว่าตนจะต้องตายและผู้ตายไม่มีเวลาที่จะคิดปรักปรำบุคคลอื่นโดยไม่เป็นความจริงดังนั้นคำพูดของผู้ตายที่พูดบอกก่อนตายจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3946/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 มิได้ห้ามโดยเด็ดขาดมิให้รับฟังพยานบอกเล่า หากพยานบอกเล่ากล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังพยานบอกเล่าดังกล่าวนั้นประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าเหตุที่เกิดเพลิงไหม้ไม่ได้เกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6655/2538
ศาลชั้นต้นให้โจทก์ใช้คำถามนำในการซักถามผู้เสียหายที่เป็นพยานโจทก์ซึ่งเป็นอัมพาตไม่อาจพูดจาหรือเปล่งเสียงได้ แต่ตอบคำถามโดยวิธีพยักหน้า ยักคิ้ว หรือการนิ่งเฉย เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 118 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ทนายจำเลยถามค้านพยานปากผู้เสียหายบ้างแล้ว ผู้เสียหายหลับไป ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ว่า ทนายจำเลยหมดคำถามก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้านว่ายังมีคำถามและขอถามค้านต่อไป หรือขอเลื่อนไปถามค้านต่อนัดหน้าก็ได้ เมื่อโจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานที่เหลือนัดหน้าจำเลยก็ไม่ค้าน ศาลรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายได้หาเป็นการขัดต่อกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2539
แม้โจทก์ไม่ได้ผู้เสียหายและนางสาว ล. มาเบิกความเป็นพยานแต่โจทก์มีสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. พยานโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของผู้เสียหายและนางสาว ล.ที่ร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนบันทึกและเบิกความรับรองไว้เชื่อว่าเป็นความจริงเพราะหากไม่เป็นความจริงแล้วผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กสาวย่อมละอายต่อการถูกข่มขืนคงไม่กล้าให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนั้นเมื่อนำบันทึกคำให้การดังกล่าวมาประกอบคำเบิกความของสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. ว่าชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพแล้วเชื่อว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3754/2538
จำเลยที่ 1 มิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และจำเลยที่ 4 มิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกัน ถือว่าจำเลยที่ 1 รับว่าทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และจำเลยที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันแล้ว จึงไม่ต้องนำเอกสารดังกล่าวมารับฟังเป็นพยานหลักฐาน ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเอกสารดังกล่าวทั้งสองฉบับปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่
ไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งระบุว่ากรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลโจทก์จะต้องมาเบิกความเป็นพยานด้วย เมื่อโจทก์นำพยานที่รู้เห็นเกี่ยวข้องมาสืบประกอบพยานเอกสารฟังได้ตามฟ้องของโจทก์แล้ว ก็ไม่จำต้องนำสืบกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2857/2538
ธ. พยานโจทก์มิได้เป็นประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน ทั้งโจทก์มิได้นำผู้ที่รู้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวมาเบิกความต่อศาลที่โจทก์อ้างเหตุในชั้นฎีกาว่า พนักงานสาขาของโจทก์ผู้ที่รู้เห็นกรณีที่จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์ ย่อมต้องบอกเล่าให้ ธ.ทราบโดยละเอียดแม้ธ. จะมารับตำแหน่งภายหลังการทำสัญญา ก็ย่อมทราบได้อย่างแน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อต่อหน้าพนักงานของธนาคารนั้นเป็นเพียงการคาดเดาของโจทก์ที่อ้างขึ้นในชั้นฎีกาโดย ธ. มิได้เบิกความถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเลยคำเบิกความของพยานโจทก์มีน้ำหนักน้อย เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาปราศจากน้ำหนักฟังไม่ได้ว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้เงินตามฟ้องเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ดังนี้ เมื่อโจทก์สืบไม่สมฟ้องและจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามในสัญญากู้เงินดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและผู้จำนองเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2538
โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ลักทรัพย์ คงมีหลักฐานเพียงว่า ในคืนเกิดเหตุมีคนร้ายลักยางพาราแผ่นของผู้เสียหายไปข้อนำสืบเบื้องต้นที่ว่าจำเลยเป็นคนร้ายมาจากคำรับของจำเลยต่อพนักงานสอบสวน และต่อบุคคลที่รู้เห็นในขณะนั้นเป็นพยานบอกเล่าที่จำเลยได้บอกแก่พนักงานสอบสวนจริง แต่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำการลักทรัพย์ไปจริงตามที่ได้บอกเล่าไว้หรือไม่นั้นต้องมีพยานอื่นมาสนับสนุนให้รับฟังได้ว่าเป็นจริงตามที่จำเลยได้บอกเล่าแก่พนักงานสอบสวนลำพังแต่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเพียงรับฟังได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไว้เช่นนั้น จะรับฟังลงโทษจำเลยได้นั้นจะต้องมีพยานอื่นสนับสนุนด้วย เมื่อโจทก์มีแต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1795/2538
พยานบุคคลของโจทก์ได้เบิกความรับรองพยานเอกสารว่ามีอยู่จริงและถูกต้อง แม้พยานโจทก์ที่เบิกความมาจะมิได้รู้เห็นขณะทำพยานเอกสาร แต่พยานเหล่านั้นเป็นผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพยานเอกสาร และเมื่อได้ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆแล้ว ก็สามารถรับรองความถูกต้องแท้จริงได้ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 95 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2538
แม้จำเลยจะได้ให้การแก้คดีว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามฟ้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแล้ว ดังนี้แม้จะยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินมาเป็นของโจทก์ โจทก์ในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่เป็นเจ้าของภารยทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ความเป็นญาติมิใช่เหตุผลที่จะต้องฟังว่าพยานจะเบิกความเข้าข้างกันเสมอไป คำเบิกความของพยานปากใดจะรับฟังได้หรือไม่สุดแล้วแต่เหตุผลในคำพยานนั้นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2857/2538
ธ. พยานโจทก์มิได้เป็นประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน ทั้งโจทก์มิได้นำผู้ที่รู้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวมาเบิกความต่อศาลที่โจทก์อ้างเหตุในชั้นฎีกาว่า พนักงานสาขาของโจทก์ผู้ที่รู้เห็นกรณีที่จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์ ย่อมต้องบอกเล่าให้ ธ.ทราบโดยละเอียดแม้ธ. จะมารับตำแหน่งภายหลังการทำสัญญา ก็ย่อมทราบได้อย่างแน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อต่อหน้าพนักงานของธนาคารนั้นเป็นเพียงการคาดเดาของโจทก์ที่อ้างขึ้นในชั้นฎีกาโดย ธ. มิได้เบิกความถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเลยคำเบิกความของพยานโจทก์มีน้ำหนักน้อย เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาปราศจากน้ำหนักฟังไม่ได้ว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้เงินตามฟ้องเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ดังนี้ เมื่อโจทก์สืบไม่สมฟ้องและจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามในสัญญากู้เงินดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและผู้จำนองเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2537
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า หากพยานบอกเล่ากล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4969/2536
ผู้ตายบอกแก่ภรรยาว่าถูกจำเลยใช้มีดพร้าตีที่ศีรษะ ขณะนั้นยังมีสติและพูดคุยกับภรรยาได้ประมาณ 2-3 นาที ผู้ตายจึงบอกให้ภรรยานำผู้ตายส่งโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ตายคงรู้อาการของตัวเองว่าหนักมากต้องการที่จะไปพบแพทย์เพื่อให้ช่วยเหลือ แสดงว่าผู้ตายคงรู้ตัวว่าอาการของตนน่าจะถึงแก่ความตายได้ ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกแก่ภรรยาจึงรับฟังได้ จำเลยใช้มีดพร้าตีศีรษะผู้ตายเพียงครั้งเดียวโดยแรง เนื่องจากโกรธที่ผู้ตายหาบหญ้ามาโดนศีรษะเมื่อปรากฏว่าจำเลยใช้สันมีดพร้าตีแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น แต่เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา290 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4903/2536
การที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับนำชี้สถานที่ต่าง ๆ ที่ระบุในคำให้การโดยความสมัครใจ ทั้งมีพยานพฤติเหตุแวดล้อม กรณีว่า จำเลยที่ 3นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นยึดเหรียญหลวงปู่แหวนของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกปล้นไปคืนได้จากบ้านจำเลยที่ 3 เช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้อง แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีแต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3361/2536
คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่กล่าวถึงเหตุที่ถูกยิงและตัวคนร้ายในขณะที่ตนมีอาการดี ไม่คิดว่าจะตายหรือไม่มีหวังรอดเป็นเพียงคำแจ้งความที่ระบุชื่อคนร้ายตามธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถรับฟังเป็นพยานลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 63/2533
ชั้นสอบสวนพยานโจทก์ทั้งสองให้การว่า พยานอยู่ในเหตุการณ์และยืนยันว่าจำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้เสียหาย แม้คำให้การชั้นสอบสวนจะเป็นเพียงพยานบอกเล่า และในชั้นศาลพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้เบิกความบ่ายเบี่ยงเป็นทำนองช่วยเหลือจำเลย แต่คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุอันถือได้ว่าเป็นระยะเวลากระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุพยานยังไม่น่าจะทันมีโอกาสไตร่ตรองเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงไปเป็นอย่างอื่น ทั้งคำให้การดังกล่าวสอดคล้องกับคำ ของ ผู้เสียหายจึงรับฟังมาประกอบคำ ของ ผู้เสียหายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5916/2531
คำบอกเล่าของผู้ตายนั้นก่อนที่จะรับฟังต้องปรากฎว่าในเวลาที่ผู้ตายต้องพูดเช่นนั้น ผู้ตายคิดว่าตนจะตายไม่มีหวังจะรอดชีวิต แต่โจทก์ไม่ได้สืบข้อความนี้ จึงฟังลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4818/2531
พยานบอกเล่าเป็นเพียงพยานที่มีน้ำหนักน้อยเท่านั้น แต่ไม่ใช่พยานที่กฎหมายห้ามมิให้รับฟัง เมื่อพยานบอกเล่านั้นสมเหตุผลและมีพยานอื่นสนับสนุน ก็เป็นพยานที่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟังได้
ผู้ตายกู้ยืมเงินโจทก์โดยทำหนังสือสัญญากู้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดผู้ตายได้โอนขายที่ดินบางส่วนให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้ ดังนี้ผู้ตายย่อมหลุดพ้นจากหนี้ตามหนังสือสัญญากู้นั้น การนำสืบการหักกลบลบหนี้นั้นไม่ต้องมีหลักฐานการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1287/2531
พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 1 กับพวกไปฆ่าผู้ตาย นับว่ามีพฤติการณ์เป็นผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วย จึงถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ที่กระทำผิดเพื่อให้ตนเองพ้นจากการเป็นผู้ต้องหาเพราะพนักงานสอบสวนย่อมจะกันไว้เป็นพยานเพื่อให้เบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 ทำให้มีข้อระแวงสงสัยว่าพยานอาจกระทำตามลำพังเอง หรืออาจได้รับการติดต่อจากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่จำเลยที่ 2 ทั้งนี้เพื่อให้ตนและผู้ที่ใช้จ้างวานตนพ้นผิด ดังนี้ คำเบิกความของพยานปากดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน้อย จะนำมาใช้ยันจำเลยที่ 2 ซึ่งให้การปฏิเสธตลอดมาหาได้ไม่
การที่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าพยานปากนี้บอกว่าได้รับการติดต่อจากจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้างให้ฆ่าผู้ตายนั้นเป็นเพียงพยานบอกเล่าที่จำเลยที่1 ได้รับทราบจากปากคำของพยานเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3261/2530
คำเบิกความของ ณ. พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยแต่โจทก์กันไว้เป็นพยานนั้นรับฟังได้ แต่มีน้ำหนักน้อยเมื่อปรากฏว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งห้าได้กล่าวถึงพฤติการณ์ในการปล้นทรัพย์และทำร้ายผู้ตายแล้วนำทรัพย์ไปแบ่งกันโดยละเอียด ตรงกับคำเบิกความของ ณ. ทั้งจำเลยที่ 1ยังนำถุงผ้าขนหนูสำหรับใส่สตางค์ของผู้ตายไปมอบให้พนักงานสอบสวนเป็นของกลาง การนำชี้ที่เกิดเหตุ ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งห้ากระทำต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก และยอมให้ถ่ายภาพ วี.ดี.โอ. ประกอบคดี แสดงว่าจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงเป็นพยาหนหลักฐานประกอบคำเบิกความของ ณ. และพยานแวดล้อมของโจทก์ให้ฟังได้ว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2503
ในคดีหาว่าข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ไม่สามารถจะได้ตัวผู้เสียหายและมารดาผู้เสียหายมาเบิกความคงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนที่ให้การว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและมีพนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบกับมีคำเบิกความของผู้ใหญ่บ้านผู้รับแจ้งความจากมารดาผู้เสียหายว่าจำเลยกับพวกได้ฉุดคร่าผู้เสียหายไปดังนี้ ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวมาลงโทษจำเลยไม่ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95(2)เพราะคำให้การชั้นสอบสวนจะรับฟังประกอบได้ ก็แต่เพียงว่าผู้เสียหายและมารดาให้การไว้ในชั้นสอบสวนเช่นนั้นจริงแต่ความจริงจะเป็นอย่างไรแน่ในชั้นศาล โจทก์จะต้องมีพยานมาเบิกความว่า จำเลยได้กระทำผิดจริง เมื่อชั้นศาลโจทก์ไม่มีพยานมาแสดงว่าจำเลยได้ข่มขืนชำเราผู้เสียหาย เช่นนี้ เพียงคำชั้นสอบสวนก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดดังฟ้อง