คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1873/2550
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์
นางวัน นวนิยม จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา 138
คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมใจความว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยจะผ่อนชำระเป็นรายเดือนทุกเดือนติดต่อกัน หากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยชำระหนี้จนครบ ปรากฏต่อมาว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วแต่ยังขายไม่ได้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลย
________________________________
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินจำนวน 887,478.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 670,404.01 บาท และ 198,652.31 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยผิดนัดชำระหนี้ ยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดได้ทันที หากขายทรัพย์จำนองได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้โจทก์ จำเลยยอมให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ได้จนครบถ้วน ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดอายัดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2548 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพิ่ม เนื่องจากทรัพย์จำนองที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มีราคาประเมินไม่พอชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน และระยะเวลาในการบังคับคดีของโจทก์ใกล้จะสิ้นสุดหากขายทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้จะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุญาตบังคับคดีกับทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพิ่มและขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 13465 ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ส่วนที่เหลือ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติตามสำนวนว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้ยืมเงิน หากจำเลยไม่ชำระให้บังคับยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด หากขายทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้จนครบถ้วน ในที่สุดคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลใจความว่า จำเลยยอมชำระหนี้เป็นเงิน 887,478.27 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 670,404.01 บาท และ 198,652.31 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หนี้ดังกล่าวจำเลยจะผ่อนชำระเป็นรายเดือนทุกเดือนติดต่อกันเดือนละไม่น้อยกว่า 7,000 บาท โดยชำระภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน และจะชำระหนี้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 12 เดือน นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยชำระหนี้จนครบ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเกิดมีการผิดนัดและมีการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด แต่ยังขายทอดตลาดไม่ได้ โจทก์ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อื่นของจำเลยอีก เช่นนี้คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธินำยึดทรัพย์อื่นของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ขั้นตอนต่อไปหากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งปรากฏต่อมาว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์ก็ได้นำพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วแต่ยังขายไม่ได้ เมื่อยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงยังไม่เสร็จสิ้นและจะต้องดำเนินการต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม โจทก์จะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ก็ต่อเมื่อมีการขายทอดตลาดจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ การขายทอดตลาดทรัพย์จำนองยังมิได้ มิใช่กรณีขายแล้วได้เงินมาพอชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลย การที่โจทก์จะนำยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัตินอกเหนือและผิดไปจากที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ไม่อาจทำได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยึดทรัพย์ของจำเลยเพิ่มเป็นการชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.
( สมศักดิ์ จันทรา - ชาลี ทัพภวิมล - ชูเกียรติ ตันทวีวงศ์ )